มะเร็ง คืออะไร ?

มะเร็งคืออะไร

    มะเร็ง (Cancer) หรือเนื้อร้าย (Malignant tumors) คือ กลุ่มของโรคที่เกิดเนื่องจากเซลล์ของร่างกายมีความผิดปกติ ส่งผลให้เซลล์มีการเจริญเติบโต มีการแบ่งตัวเพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์อย่างรวดเร็ว และมากกว่าปกติ   

เซลล์เนื้อร้ายพัฒนากลายเป็นก้อนมะเร็งที่รบกวนการทำงานของเซลล์ปกติในอวัยวะ และแพร่กระจายลุกลามผ่านทางระบบเลือด และระบบทางเดินน้ำเหลืองไปยังอวัยวะส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ถ้าเซลล์พวกนี้เกิดอยู่ในอวัยวะใดก็จะเรียกชื่อมะเร็งตามอวัยวะนั้นเช่น มะเร็งปอด มะเร็งสมอง มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็ง เม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และมะเร็งผิวหนัง เป็นต้น 

สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง

การเกิดโรคมะเร็งยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดได้ อาจเกิดได้จากสาเหตุเดียวหรือมาจากหลากหลายสาเหตุก็ได้
ดังนั้นการหลีกเลี่ยงปัจจัยการเกิดจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคได้  

 

 

ปัจจัยการเกิดโรคมะเร็งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้


    ปัจจัยภายนอก
   ได้รับสารก่อมะเร็ง (Carcinogen) ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของเซลล์ ทำให้เซลล์เจริญเติบโตและแบ่งตัวผิดปกติ และกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ สามารถพบได้ในอาหาร อากาศ เครื่องดื่ม ยารักษาโรค และสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เช่น บุหรี่ สารเคมี รังสี

    • การได้รับรังสีที่เป็นพลังงานสูง สามารถกระตุ้นเซลล์มะเร็งได้ เช่น รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ในแสงแดด

    • การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น ไวรัสเอชไอวี (HIV) ไวรัสเอชพีวี (HPV) ไวรัสตับอักเสบบีและซี (Hepatitis B & C Virus) สามารถทำให้เกิดมะเร็งได้

    • การติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น แบคทีเรีย Helicobacter pylori ที่สามารถทำให้เกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร

    • การกินอาหารไขมันสูง อาจเป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งโพรงมดลูก มะเร็งหลอดอาหาร

  • ปัจจัยภายใน

    • ความผิดปกติทางพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงของยีนหรือโครโมโซม สามารถทำให้เกิดโรคมะเร็ง เช่น โรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งรังไข่ โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

    • ความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน ที่มีหน้าที่ป้องกันร่างกายจากสิ่งแปลกปลอม หากระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เซลล์มะเร็งอาจเจริญเติบโตและแพร่กระจายได้โดยไม่ถูกทำลาย

    • ภาวะทุพโภชนาการ ร่างกายขาดสารอาหารบางชนิด หรือได้รับอาหารที่ไม่ครบถ้วน เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี และโฟเลต อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้

 

วิธีการรักษาโรคมะเร็ง

  • การผ่าตัด 

การผ่าตัดเป็นวิธีการรักษามะเร็งเฉพาะที่ การรักษามะเร็งระยะแรกส่วนใหญ่มักต้องมีการผ่าตัด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น 

 

  • รังสีรักษา (Radiotherapy)

การรักษาด้วยรังสีบำบัด หรือ การฉายแสง เป็นการรักษามะเร็งเฉพาะตำแหน่ง โดยใช้รังสีขนาดสูงตามตำแหน่งที่แพทย์ต้องการควบคุมมะเร็ง การฉายแสงนี้รังสีจะผ่านผิวหนังไปยังตำแหน่งที่ต้องการ และทำให้เกิดผลข้างเคียงกับอวัยวะบริเวณใกล้เคียงได้ บางกรณีแพทย์อาจใช้รังสีรักษาชนิดสอดใส่ ฝังแร่ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดรังสีไปในตำแหน่งใกล้กับก้อนมะเร็งโดยตรงได้ เช่น ในมะเร็งปากมดลูก 

 

  • เคมีบำบัด (Chemotherapy)

เป็นการรักษาด้วยสารเคมีที่มีผลทำลายเซลล์มะเร็งมากกว่าเซลล์ปกติ โดยที่กลไกการออกฤทธิ์ของยาเคมีบำบัดนั้นเป็นการขัดขวางการแบ่งเซลล์ ทำให้มีผลต่อเซลล์มะเร็งที่มีการแบ่งตัวเร็วกว่าเซลล์ปกติ  ยาเคมีบำบัดมีหลายสูตร โรคมะเร็งแต่ละชนิดมีการตอบสนองต่อยาแต่ละตัวไม่เหมือนกัน ยาที่แต่ละคนได้รับจึงไม่เหมือนกันในมะเร็งชนิดที่ต่างกัน

   

  • ยาฮอร์โมนบำบัด (Hormonal Therapy)

การใช้ยาฮอร์โมนบำบัด (Hormonal Therapy) มีกลไกการยับยั้งการทำงานในเซลล์ผ่านตัวรับฮอร์โมน หรือผ่านเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน การรับนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก

 

  • ยาต้านมะเร็งแบบมุ่งเป้า (Targeted Cell Therapy)

เป็นการรักษาโรคมะเร็งแบบใช้ยาจำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยับยั้งกระบวนการส่งสัญญาณระดับเซลล์ ส่งผลยับยั้งการเจริญเติบโตและแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง โดยอาจไปจับกับเป้าหมายที่อยู่ภายนอกเซลล์หรือบนผิวเซลล์ หรือผ่านเข้าไปในผนังเซลล์เพื่อจับกับเป้าหมายภายในก็ได้

 

  • การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy)

เป็นวิธีการรักษาโรคมะเร็งแบบใหม่ โดยการให้ยาไปกระตุ้นช่วยเพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้มีประสิทธิภาพในการต่อต้านเซลล์มะเร็งในร่างกาย โดยปกติแล้วร่างกายของคนเรามีเซลล์ผิดปกติเหมือนเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นทุกวันแต่ด้วยกลไกของร่างกายทำให้เซลล์เหล่านั้นไม่กลายเป็นโรคมะเร็ง  เพราะเซลล์ผิดปกตินี้จะทำลายตัวเองหรือ หากหลุดรอดจากการทำลายตัวเองก็จะมีเซลล์ภูมิต้านทานในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมาทำลายเซลล์มะเร็งนี้  แต่การที่เรายังมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งได้นั้นเกิดจากเซลล์ที่ผิดปกติสามารถสร้างโปรตีนบางอย่างเพื่อพรางตัวเอง และหลบหลีกระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จึงส่งผลให้ภูมิต้านทานของร่างกายไม่สามารถกำจัดเซลล์มะเร็งได้และทำให้เป็นโรคมะเร็งในที่สุด

 

การป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง

การดูแลตัวเองในชีวิตประจำวันที่ดี มีส่วนช่วยในการป้องกันโรคมะเร็งได้

  1. ไม่สูบบุหรี่

    การสูบบุหรี่นั้นสัมพันธ์กับโรคมะเร็งปอด มะเร็งปาก มะเร็งคอ มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งตับอ่อน มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งไต

    การเลิกสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่มือสองช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้ 

  2. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์  การรับประทานอาหารที่มีสารอาหารที่มีประโยชน์ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง

    • เพิ่มผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี พืชตระกูลถั่ว และถั่วเปลือกแข็งในมื้ออาหาร

    • ลดการรับประทานน้ำตาลขัดสี ไขมันสัตว์ เนื้อสัตว์แปรรูปเพื่อคงน้ำหนักตัวตามเกณฑ์

    • การดื่มแอลกอฮอล์ที่มากเกินไปเป็นผลร้ายต่อตับ การดื่มแอลกอฮอล์ (โดย เฉพาะหากคู่มากับการสูบบุหรี่)เป็นสาเหตุ หลักในการเกิดมะเร็งช่องปากและลำคอ อีก ทั้งมีส่วนเกี่ยวพันกับมะเร็งชนิดอื่นๆ ด้วย 

     3. หมั่นออกกำลังกายและรักษาน้ำหนักตัวตามเกณฑ์ การออกกำลังกายครั้งละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์
      ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งหลายชนิด อาทิ มะเร็งปอดมะเร็งเต้านมมะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้ 
      การเล่นโยคะ เดินหรือเต้นแอโรบิก ก็ถือเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยต่อสู้กับ มะเร็งได้ดีที่สุดเช่นกัน

     4. หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดด รังสีอัลตร้าไวโอเล็ต (ยูวี) ในแสงแดดเป็นสาเหตุหลักของ มะเร็งผิวหนัง ซึ่งสามารถป้องกันได้ง่ายๆ 2 วิธี คือ ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปเมื่อต้องอยู่กลางแจ้งและพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดโดยตรงในช่วง เวลา 10.00 - 16.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่รังสียูวีมีความเข้มสูงสุด 

     5. เข้ารับการฉีดวัคซีนตามความเหมาะสม
การฉีดวัคซีนนั้นสามารถช่วยสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้เช่นกัน

    • วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (HPV) สามารถฉีดในเด็กชายและเด็กหญิงอายุ 11-12 ปี 

    • วัคซีนตับอักเสบบีนั้นแนะนำให้ฉีดในผู้ที่มีคู่นอนหลายคนเนื่องจากเสี่ยงต่อโรคทางเพศสัมพันธ์ ชายรักชาย บุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วย เพราะไวรัสตับอักเสบบีนั้นเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งตับ

    6. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย

  1. เพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยไม่เพียงช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เท่านั้น แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญ ในการลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญในการเสียชีวิตของผู้หญิงไทยและผู้หญิงทั่วโลก เชื่อกันว่ ประมาณร้อยละ 70 ของมะเร็งปากมดลูกมีสาเหตุมาจาก Human Papillomavirus (HPV) ที่สำคัญ เชื้อ HPV นี้ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็น มะเร็งที่ทวารหนักและอวัยวะเพศอีกด้วย

  2. พฤติกรรมเสี่ยงบางอย่างเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง

    • การใช้เข็มร่วมกับผู้อื่นทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะติดโรคอื่น ๆ สูงขึ้น เช่น โรคไวรัสตับอักเสบบี โรคไวรัสตับโรคอักเสบซี และโรคเอชไอวี ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งตับ

    • การมีคู่นอนหลายคนเพิ่มความเสี่ยงในการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งอาจนําไปสู่ความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง การติดเชื้อ HPV ก่อให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูกและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งทวารหนัก มะเร็งลูกอัณฑะ มะเร็งคอ มะเร็งปากช่องคลอด มะเร็งช่องคลอด ส่วนเชื้อเอชไอวีมีความสัมพันธ์กับมะเร็งทวารหนัก มะเร็งตับ และมะเร็งปอด จึงควรสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์เพื่อความปลอดภัย

 

     7. หมั่นตรวจร่างกายด้วยตนเองและเข้ารับการตรวจคัดกรองประจำปี
หมั่นตรวจและสังเกตว่าร่างกายว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือมีความผิดปกติใด ๆ หรือไม่ และควรเข้ารับการตรวจคัดกรองประจำปีอย่างสม่ำเสมอ การตรวจพบความผิดปกติเร็วจะยิ่งทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสามารถขอคำแนะนำจากแพทย์เรื่องตารางการตรวจคัดกรองที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล   มะเร็งหลายชนิดมักเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม ดังนั้นหากคนในครอบครัวมีประวัติเจ็บป่วยด้วยมะเร็ง ควรพยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง และรับการตรวจคัดกรองเบื้องต้นเกี่ยวกับมะเร็งชนิดนั้นๆ

  8.นอนหลับให้สนิท
ผลการศึกษาพบว่าสารเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมน ที่สมองผลิตใน ระหว่าง การนอนหลับมีคุณสมบัติในการต่อสู้กับมะเร็ง แต่เมลาโทนินจะช่วยป้องกัน มะเร็งได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ต่อเมื่อการนอนนั้นเป็นการนอนหลับอย่าง สนิทต่อเนื่องในห้องมืดเท่านั้น